คำและความหมาย ที่ควรรู้ เกี่ยวกับบัตรเครดิต

หัวข้อเด่นในเรื่องนี้

เพื่อนๆหลายคน ที่พึ่งอาจจะทำบัตรเครดิต และมีบัตรเครดิตใบแรก

ยังไม่รู้ว่าคำๆนั้น ที่เขาพูดกันเกี่ยวกับบัตรเครดิต มีความหมายว่าอย่างไร วันนี้เราเลยมาแนะนำศัพท์เกี่ยวกับบัตรเครดิตมาบอกกัน

คำที่เกี่ยวกับบัตรเครดิต

ไมล์สะสม

  • การสะสมไมล์คือการที่ผู้ใช้บัตรเครดิตจะได้รับคะแนนสะสมทุกครั้งที่รูดบัตร ซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นตั๋วเครื่องบินกับทางบริษัทหรือธนาคารผู้ออกบัตร

ค่าธรรมเนียมรายปี

  • ผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีในการใช้บัตรให้กับทางธนาคารหรือบริษัทผู้ออกบัตร ในบางกรณี
  • ทางธนาคารจะให้การยกเว้นการจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรกของการใช้บัตร
    หรือยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีหากมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรมากกว่ายอดที่กำหนดไว้

Annual Percentage Rate หรือ APR (ดอกเบี้ยต่อปี)

  • ดอกเบี้ยคิดเป็นร้อยละต่อปี หรือ APR นั้น คืออัตราดอกเบี้ยที่ผู้ใช้บัตรต้องจ่ายสำหรับเงินที่กู้มาจากทางธนาคารเพื่อใช้ในวันนี้เมื่อรูดบัตรไป
  • อัตราดอกเบี้ยนี้รวมไปถึงค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บัตร แต่ถูกคำนวนออกมาเป็นเบอร์เดียวเพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ

Automatic Payment (หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ)

  • ในบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ
  • ยอดหนี้หรือยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของคุณจะถูกหักออกไปจากบัญชีเงินฝากหรือบัญชีกระแสรายวันของคุณโดยอัตโนมัติ

Available Credit (ยอดคงเหลือ)

  • ยอดคงเหลือในบัตรเครดิตของคุณ คือยอดที่ยังไม่ได้ใช้และยังสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งมีค่าเท่ากับส่วนต่างระหว่างวงเงินของบัตรและยอดเงินค้างชำระของคุณ

Average Daily Balance (ยอดค้างเฉลี่ยรายวัน)

  • นี่คือวิธีการคำนวนค้าใช้จ่ายทางการเงินของผู้ถือบัตร โดยการรวมยอดค้างชำระในแต่ละวันของระยะเวลาสรุปยอดใช้จ่าย และนำมาหารด้วยจำนวนวันของช่วงนั้นๆ

Bad Credit (เครดิตไม่ดี)

  • คุณอาจจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดเครดิตไม่ดี หากคุณชำระหนี้เลยกำหนด มียอดใช้จ่ายเลยวงเงินของบัตร หรือเป็นบุคคลล้มะลาย

Balance Transfer (การโอนหนี้)

  • ในเชิงของบัตรเครดิตนั้น การโอนหนี้หมายถึงการโอนหนี้ยอดค้างชำระจากบัตรใบหนึ่งใบสู่บัตรอีกใบหนึ่ง ซึ่งผู้ถือบัตรอาจจะโอนหนี้เพราะต้องการอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าจากบัตรใบใหม่

Balance Transfer Fee (ค่าธรรมเนียมในการโอนหนี้)

  • เมื่อไหร่ที่ผู้ถือบัตรต้องการจะโอนหนี้ยอดค้างชำระไปที่บัตรเครดิตใบใหม่ คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนหนี้
  • ซึ่งอาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรืออัตราคงที่ก็ได้

Card Issuer (ผู้ออกบัตร)

  • ผู้ออกบัตรนั้นหมายถึงธนาคาร บริษัท หรือสถาบันทางการเงินที่ออกบัตรเครดิตให้คุณ

Cash Advance (เบิกเงินสดล่วงหน้า)

  • บริการนี้จะทำให้คุณสามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าจากตู้ ATM ด้วยบัตรเครดิตของคุณ โดยปกติแล้ว
  • คุณจะต้องใบขอรับบริการนี้จากทางผู้ออกบัตรก่อนที่จะสามารถเบิกเงินสดจากบัตรเครดิตได้ และจะต้องสียค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ยของการเบิกเงินสดล่วงหน้า

 Cash Advance Fee (ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดล่วงหน้า)

  • คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนี้เมื่อใช้บริการเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิต ซึ่งอาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินสดที่เบิกไปหรืออัตราคงที่ต่อครั้งก็ได้

Cashback (แต้มคืนเงิน)

  • แต้มเงินคืนคือสิทธิประโยชน์อีกหนึ่งประการที่คุณจะได้รับจากการใช้บัตรเครดิต ในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในบางกรณีนั้น
  • คุณจะได้รับเงินคืนโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้

Credit Bureau (เครดิตบูโร)

  • เครดิตบูโร หรือศูนย์ข้อมูลเครดิตนั้น คือองค์กรหรือบริษัทที่เก็บข้อมูลเชิงเครดิตรายบุคคล เช่นประวัติการชำระสินเชื่อ
  • เพื่อลดความเสี่ยงในการให้กู้และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับธนาคาร ในประเทศไทยนั้น แหล่งการสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงเครดิตคือบริษัท
    ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ National Credit Bureau

 Charge Card (ชาร์จคาร์ด)

  • ชาร์จคาร์ด คือบัตรประเภทที่ผู้ถือบัตรจะต้องชำระยอดหนี้สินให้หมดและเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้นที่กำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะตั้งไว้ที่หนึ่งเดือน
  • ชาร์จคาร์ดจะไม่มีวงเงินจำกัด

Credit Card (บัตรเครดิต)

  • บัตรเครดิตคือบัตรที่เราได้รับวงเงินจากผู้ออกบัตร เพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่คุณต้องการในวันนี้ โดยที่ชำระหนี้ในวันหลัง โดยปกติแล้ว บัตรเครดิตจะมาในรูปแบบของบัตรแข็งแพลสติกที่มีแถบแม่เหล็กอยู่ด้านหลัง

Credit History (ประวัติเครดิต)

  • ประวัติเครดิตของคุณ คือประวัติการทำธุรกรรมทางเครดิตของคุณทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงประวัติการชำระสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดของคุณ

Credit Limit (วงเงิน)

  • วงเงินของบัตรเครดิต คือจำนวนเงินสูงสุดที่คุณสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรของคุณได้
    ซึ่งวงเงินนี้ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ออกบัตรและขึ้นอยู่กับคะแนนเครดิตและรายได้ของคุณ

Credit Score (คะแนนเครดิต)

  • คะแนนเครดิตคือคะแนนที่คุณจะได้เมื่อพิจารณาข้อมูลต่างๆ จากประวัติเครดิตของคุณแล้ว
  • ผู้ออกบัตรจะพิจารณาคะแนนเครดิตของคุณเพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะอนุมัติการสมัครบัตรเครดิตของคุณหรือไม่

Credit Scoring (การให้คะแนนเครดิต)

  • กระบวนการการให้คะแนนเครดิตแก่ผู้สมัครขอรับบริการบัตรเครดิตนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลต่างๆ ของผู้สมัคร เช่นรายได้และประวัติเครดิต

Credit Verification Code (CVC)

  • Credit Verification Code หรือ CVC คือรหัสสามหรือสี่หลักบนบัตรของคุณที่มีไว้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน
  • เอาไว้ตรวจสอบและยืนยันว่าผู้ใช้คือเจ้าของบัตรที่แท้จริง โดยเฉพาะในการทำธุรกรรมที่ไม่ต้องรูดบัตรจริงเช่นการซื้อของออนไลน์หรือผ่านทางโทรศัพท์

Debit Card (บัตรเดบิต)

  • บัตรเดบิตคือการใช้จ่ายผ่านบัตรอีกชนิดหนึ่ง แต่บัตรเดบิตจะหักเงินจากบัญชีเงินฝากหรือบัญชีกระแสรายวันของคุณโดยตรง
  • เลยไม่ถือว่าเป็นการกู้เงินเครดิตจากธนาคารเหมือนบัตรเครดิตและชาร์จคาร์ด

Debt Consolidation (การรวบรวมหนี้)

  • การรวบรวมหนี้คือวิธีการจัดการหนี้ส่วนบุคคลชนิดหนึ่ง คุณสามารถรวบรวมหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดของคุณโดยการโอนหนี้ทั้งหมดไปที่บัตรเดียว ซึ่งอาจจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

Finance Charges (ค่าใช้จ่ายทางการเงิน)

  • นี่เป็นศัพท์ทั่วไปที่ใช้เรียกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบัตรเครดิต รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นๆ

 Fixed Rate (อัตราดอกเบี้ยคงที่)

  • บัตรเครดิตที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่มักจะมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าบัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยผันแปร

Fraudulent Transactions (ธุรกรรมฉ้อโกง)

  • ธุรกรรมฉ้อโกงคือธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตที่ไม่ได้รับอณุญาติจากตัวเจ้าของบัตร ผู้ออกบัตรหลายๆ แห่งได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยมากมายเพื่อป้องกันผู้ถือบัตรจากธุรกรรมฉ้อโกง แต่คุณก็ควรจะตรวจสอบใบแจ้งหนี้ประจำเดือนของคุณเป็นอย่างดีเผื่อพบเจอธุรกรรมฉ้อโกง

Grace Period (ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย)

  • นี่คือระยะเวลาหลังจากที่ได้รับใบแจ้งหนี้แล้วที่คุณสามารถชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ย

Interest Rate (อัตราดอกเบี้ย)

  • ผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยในส่วนของเงินที่ยืมจากธนาคารเมื่อทำการรูดบัตรเครดิต เมื่อยอดค้างชำระเลยระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย ซึ่งปกติแล้วจะระบุไว้เป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละต่อปี

Introductory Rate (อัตราดอกเบี้ยระยะเริ่มต้น)

  • อัตราดอเบี้ยระยะเริ่มต้น หรือที่เรียกกันว่า introductory rate หรือ teaser rate นั้น คืออัตราดอกเบี้ยที่ผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายในระยะเริ่มต้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอาจจะเปลี่ยนเมื่อพ้นระยะเวลานั้นไปแล้ว

Late-payment fee (ค่าธรรมเนียมเมื่อผิดชำระหนี้)

  • นี่คือค่าธรรมเนียมที่ผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายเมื่อผิดชำระหนี้ และชำระหลังจากระยะเวลาที่กำหนด

MasterCard (มาสเตอร์คาร์ด)

  • มาสเตอร์คาร์ด หรือ MasterCard คือบริษัทบัตรเครดิตที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ร้านค้าหลายล้านแห่งทั่วโลกจึงรองรับบัตร MasterCard และบัตรเครดิตของหลายๆ สถาบันการเงินในประเทศไทยก็เป็นบัตร MasterCard

Minimum Monthly Payment (ขั้นต่ำในการชำระยอดบัตรรายเดือน)

  • นี่คือตัวกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำสุดที่ผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องชำระในแต่ละเดือน ซึ่งปกติแล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ค้างชำระทั้งหมด หรืออัตราคงที่
    (อันที่สูงกว่า)

Outstanding Balance (ยอดค้างชำระ)

  • ยอดหนี้ค้างทั้งหมดที่ผู้ถือบัตรต้องชำระ ซึ่งจะถูกนำมาคำนวนอัตราดอกเบี้ยรายเดือน

Over Limit Fee (ค่าธรรมเนียมเมื่อเกินวงเงิน)

  • ค่าธรรมเนียมที่ผู้ถือบัตรต้องเสียเมื่อใช้จ่ายป่านบัตรเครดิตเลยวงเงิน

Payment Due Date (วันครบกำหนดชำระ)

  • วันสำคัญที่ผู้ถือบัตรทุกคนต้องรู้ คือวันครบกำหนดชำระที่จะต้องจ่ายยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในแต่ละเดือน หรืออย่างน้อยก็ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ การชำระหนี้หลังกำหนดจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

 Personal Identification Number (รหัส PIN)

  • รหัส Personal Identification Number หรือรหัส PIN คือรหัสรักษาความปลอดภัยของบัตรเครดิตที่คุณต้องใช้เมื่อรูดบัตรเครดิตที่ร้านค้าต่างๆ

Principal Cardholder (ผู้ถือบัตรหลัก)

  • ผู้ถือบัตรหลักคือเจ้าของของบัตรเครดิตหลัก หากมีบัตรเสริมพ่วงอยู่ด้วย ก็จะใช้วงเงินร่วมกับผู้ถือบัตรเสริม

Retail Credit Card (บัตรเครดิตรีเทล)

  • บัตรเครดิตรีเทลคือบัตรเครดิตที่เกี่ยวข้องกับห้างสรรพสินค้าโดยตรง เช่นบัตรเซ็นทรัลของห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล
  • ซึ่งอาจจะมีสิทธิประโยชน์หรือส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเมื่อใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าที่เกี่ยวข้อง

Supplementary Cardholder (ผู้ถือบัตรเสริม)

  • ผู้ถือบัตรเสริมคือผู้ที่ใช้บัตรเสริมที่พ่วงอยู่กับบัตรหลักโดยใช้วงเงินเดียวกัน ผู้ถือบัตรหลักจะต้องรับผิดชอบในส่วนของบัตรเสริมที่พ่วงอยู่กับบัตรหลักของตน

Statement of Accounts (ใบแจ้งหนี้)

  • ในทุกๆ สิ้นเดือน ผู้ถือบัตรจะได้รับใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตที่ไร่เรียงข้อมูลต่างๆ เช่นธุรกรรมหรือค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และกำหนดชำระหนี้

Visa (วีซ่า)

  • วีซ่า หรือ Visa คือบริษัทบัตรเครดิตที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกอักแห่งหนึ่ง บัตรเครดิตของหลายๆ สถาบันการเงินในประเทศไทยก็เลยเป็นบัตร Visa
แหล่งข้อมูล/moneyguru